สรุปข่าวนโยบายภาษีศุลกากรล่าสุดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้จุดชนวนให้เกิดความผันผวนและความสับสนในตลาดอีกครั้งท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน
ข่าวนำในการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ถึงมาตรการภาษีนำเข้าใหม่ชุดหนึ่ง ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สมดุลทางการค้าที่รับรู้และฟื้นฟูอุตสาหกรรมการผลิตของอเมริกา การเคลื่อนไหวครั้งนี้ ซึ่งรวมถึงการกำหนดอัตราภาษีพื้นฐาน 10% สำหรับทุกประเทศยกเว้นแคนาดาและเม็กซิโก และการขึ้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าจากจีน ได้ทำให้ความตึงเครียดทางการค้าที่มีอยู่เดิมทวีความรุนแรงขึ้น พร้อมกับสร้างความไม่แน่นอนให้กับทั้งภาคธุรกิจและนักลงทุน
รัฐบาลทรัมป์ได้ยึดถือแนวทางที่แข็งกร้าวในเรื่องการค้า โดยเฉพาะกับจีน ซึ่งนำไปสู่นโยบายภาษีที่ครอบคลุมเพื่อส่งเสริมการผลิตภายในประเทศและลดการขาดดุลการค้า การประกาศล่าสุดเกี่ยวกับการเก็บภาษีพื้นฐาน 10% สำหรับสินค้านำเข้าทุกประเภท พร้อมกับเพิ่มอัตราภาษีสำหรับสินค้าจีนอย่างรุนแรง (สูงถึง 125%) สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในความสัมพันธ์ทางการค้าของสหรัฐฯ
นักวิเคราะห์เศรษฐกิจเตือนว่ามาตรการเหล่านี้น่าจะทำให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อภายในประเทศรุนแรงขึ้น โดยประมาณการว่าครอบครัวชาวอเมริกันโดยเฉลี่ยอาจสูญเสียกำลังซื้อหลายพันดอลลาร์อันเป็นผลมาจากราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้น รายงานระบุว่าภาษีนำเข้าคาดว่าจะทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นประมาณ 2.3% ซึ่งจะส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ในแง่ของผลกระทบทางเศรษฐกิจที่กว้างขึ้น การเก็บภาษีศุลกากรคาดว่าจะนำไปสู่การลดลงของการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) โดยการคาดการณ์ชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่จะลดลงระหว่าง 0.4% ถึง 0.9% ในปี 2025 ผลกระทบต่อการจ้างงานยังเป็นที่น่ากังวล เนื่องจากงานศึกษาต่าง ๆ คาดการณ์การสูญเสียงานเกินกว่า 142,000 ตำแหน่งงานเต็มเวลา
ปฏิกิริยาทั่วโลกต่อยุทธศาสตร์ภาษีศุลกากรที่ก้าวร้าวของทรัมป์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยหลายประเทศเตรียมมาตรการตอบโต้ ที่น่าสังเกตคือ จีนตอบสนองอย่างรุนแรงด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ สูงถึง 84% เพื่อตอบโต้การขึ้นภาษีที่เพิ่มขึ้น ผู้สังเกตการณ์ระบุว่าการตอบโต้แบบนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีตึงเครียด แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของโลกด้วย
อุตสาหกรรมเหล็กและอลูมิเนียมเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากภาษีนำเข้าใหม่ ในขณะที่บางภาคส่วนอาจได้รับประโยชน์ชั่วคราวจากมาตรการปกป้องทางการค้า หลายอุตสาหกรรมต่อเนื่องกำลังเผชิญกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่พบการหยุดชะงักในการดำเนินงานและการสูญเสียงาน ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการภาษีใหม่เหล่านี้
ผู้บริโภคกำลังเริ่มรู้สึกถึงผลกระทบจากมาตรการภาษีเหล่านี้ โดยธุรกิจต่างๆ เริ่มนำ "ค่าธรรมเนียมทรัมป์" มาใช้เพื่อชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แนวโน้มนี้ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค ในขณะที่ครัวเรือนเตรียมรับมือกับราคาสินค้าที่สูงขึ้นในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไปจนถึงผลิตภัณฑ์อาหาร
เมื่อมองไปข้างหน้า แนวโน้มนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของทรัมป์ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การวิเคราะห์ที่เกิดขึ้นใหม่ชี้ให้เห็นว่ามีความเสี่ยง 40% ที่เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากพลวัตของสงครามการค้าที่กำลังดำเนินอยู่ ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากการบังคับใช้ภาษีศุลกากร การยืนกรานของรัฐบาลทรัมป์ในการรักษาภาษีศุลกากรในระดับสูงเพื่อเจรจาข้อตกลงที่ดีกว่าอาจนำไปสู่ความผันผวนที่ยืดเยื้อในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยคาดว่าดอลลาร์สหรัฐจะตอบสนองอย่างไวต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายเหล่านี้
จากพัฒนาการเหล่านี้ การเฝ้าติดตามการปรับเปลี่ยนนโยบายภาษีศุลกากรและปฏิกิริยาจากนานาชาติจึงเป็นสิ่งสำคัญ การเจรจาในอนาคตอาจนำไปสู่การปรับโครงสร้างภาษีเหล่านี้ แต่ผู้วิเคราะห์ย้ำว่าการแก้ปัญหาจะต้องอาศัยความมุ่งมั่นอย่างมากจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะจีน เพื่อส่งเสริมสภาพแวดล้อมทางการค้าที่สมดุลยิ่งขึ้น
สรุปมาตรการภาษีของทรัมป์เป็นยุทธศาสตร์ที่กล้าหาญและก่อให้เกิดความขัดแย้ง ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในขณะที่ตลาดทั่วโลกตอบสนองต่อความไม่แน่นอนของการเจรจาทางการค้า เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนและธุรกิจที่จะต้องติดตามการปรับนโยบายที่กำลังดำเนินอยู่ การกระทำตอบโต้ที่อาจเกิดขึ้น และผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยรวมที่เกิดจากภาษีเหล่านี้ ขณะที่พวกเขาพิจารณาตำแหน่งทางการตลาดในอนาคต
แหล่งที่มา: