สรุปข่าว:EUR/JPY ได้ฟื้นตัวขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 160.40 หลังจากที่ลดลงต่อเนื่องมาหลายวัน ขณะที่ผู้เข้าร่วมตลาดกำลังรอข้อมูลเชิงลึกจากการประชุมระหว่างกระทรวงการคลังของญี่ปุ่น หน่วยงานบริการทางการเงิน และธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นเกี่ยวกับพัฒนาการทางการเงินโลกท่ามกลางความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เพิ่มขึ้น
นำเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2025 ค่าเงิน EUR/JPY มีความมั่นคงอยู่ที่ประมาณ 160.40 หลังจากฟื้นตัวจากความสูญเสียก่อนหน้านี้ โดยผู้ค้าต่างจับตาผลลัพธ์จากการประชุมสำคัญระหว่างกระทรวงการคลังญี่ปุ่น (MOF), หน่วยงานบริการทางการเงิน (FSA) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) เกี่ยวกับสถานะของตลาดการเงินโลกและความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
เยนญี่ปุ่นแสดงความแข็งแกร่งล่าสุด โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้นจากข้อพิพาทภาษีที่เพิ่มสูงขึ้น เมื่อความไม่แน่นอนของสภาพเศรษฐกิจขยายวงกว้าง นักลงทุนจำนวนมากหันมาใช้ JPY เป็นที่พักพิงที่มั่นคงสำหรับการลงทุนของพวกเขา การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นในการฟื้นตัวของ EUR/JPY ซึ่งซื้อขายใกล้ระดับ 160.50 ในช่วงเวลาเอเชียเมื่อวันพุธ บ่งบอกถึงความสนใจและเก็งกำไรใหม่ในหมู่ผู้ค้า
ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ล่าสุดและสถิติทางเศรษฐกิจที่กระตุ้นความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย ได้เน้นย้ำถึงความน่าดึงดูดของเงินเยนในฐานะสกุลเงินที่ปลอดภัย การประชุมระหว่างหน่วยงานทางการเงินของญี่ปุ่นมีแนวโน้มที่จะมุ่งเน้นไปที่การประเมินผลกระทบจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกเหล่านี้ โดยคาดว่าจะมีแถลงการณ์ร่วมที่แม้จะให้ข้อมูลแต่ก็อาจขาดแผนการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม
ในขณะเดียวกัน ยูโรยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากความเชื่อมั่นของตลาดที่คาดการณ์ว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะดำเนินนโยบายผ่อนคลายต่อเนื่อง แนวโน้มนี้มาจากข้อความล่าสุดของนักกำหนดนโยบายหลายคนของ ECB รวมถึงผู้ว่าการธนาคารอิตาลี Piero Cipollone และผู้ว่าการธนาคารฝรั่งเศส François Villeroy de Galhau ที่เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไปท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ลง
การประชุมที่กำลังจะเกิดขึ้นของรัฐมนตรีคลังของยูโรโซนในวันพฤหัสบดีที่กรุงวอร์ซอจะยังกล่าวถึงกลยุทธ์เพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาษีที่สหรัฐฯ กำหนด ซึ่งทำให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของยูโรโซนซับซ้อนยิ่งขึ้น สัญญาณที่หลากหลายจากตลาดบ่งชี้ว่าธนาคารกลางยุโรปอาจถูกกดดันให้ปรับนโยบายเพื่อปกป้องความมั่นคงทางเศรษฐกิจ โดยเจ้าหน้าที่อย่างผู้ว่าการ Yannis Stournaras สนับสนุนอย่างแข็งขันสำหรับการลดอัตราดอกเบี้ยที่เป็นไปได้เร็วที่สุดในเดือนเมษายน
การนำภาษีของสหรัฐฯ มาใช้สร้างความท้าทายเพิ่มเติมให้กับยูโร ส่งผลต่อพลวัตทางการค้าและความเชื่อมั่นของนักลงทุน ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดคาดการณ์ว่าภาษีเหล่านี้อาจส่งผลกระทบในทางลบต่อการเติบโตของ GDP ในเขตยูโรประมาณ 0.3% ถึง 0.4% ในปีแรก เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ต้องเผชิญกับการหยุดชะงักอย่างมีนัยสำคัญ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของโปแลนด์ Andrzej Domański ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่กว้างขึ้นต่อการเติบโตของยุโรป โดยชี้ให้เห็นถึงการแทรกแซงในห่วงโซ่อุปทานและต้นทุนของบริษัทที่เพิ่มขึ้นซึ่งอาจทำให้สกุลเงินในภูมิภาคตึงตัวมากขึ้น ข้อมูลนี้ทำให้ความกลัวที่มีอยู่เกี่ยวกับการเสื่อมถอยทางเศรษฐกิจในยุโรปทวีความรุนแรงขึ้น และภูมิทัศน์ทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเปลี่ยนแปลงท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้น
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกมีลักษณะเฉพาะคือการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นพร้อมกันในหลายประเทศ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) นิยามภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกว่าเป็นการลดลงของ GDP ต่อหัวประจำปี พร้อมกับการลดลงของตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น การผลิตอุตสาหกรรมและการค้า ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองชี้ให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกในอดีต ได้แก่ ปี 1975, 1982, 1991 และที่สำคัญที่สุดคือภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ในปี 2009 ซึ่งมีความรุนแรงและส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง
สถานการณ์ในปัจจุบันสะท้อนให้เห็นบางแง่มุมของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในอดีต โดยมีความผันผวนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นและความไม่มั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่กระตุ้นความกลัวในหมู่นักลงทุน ความเชื่อมโยงกันของเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันหมายความว่าการสั่นสะเทือนในภูมิภาคหนึ่งสามารถแพร่กระจายไปยังตลาดต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดภาวะวิกฤตการเงินอย่างกว้างขวาง
ปัจจัยหลายอย่างอาจเป็นตัวเร่งให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก ซึ่งรวมถึงสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ลงในเศรษฐกิจหลัก การตัดสินใจเชิงนโยบายที่รุนแรงซึ่งส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน และความปั่นป่วนของตลาดการเงิน ตัวอย่างเช่น หากข้อพิพาททางการค้าที่กำลังดำเนินอยู่ นำไปสู่การล่มสลายอย่างกว้างขวางของเครือข่ายการค้าระหว่างประเทศ ผลกระทบเชิงลบที่สะสมอาจขัดขวางความร่วมมือและการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกอย่างมีนัยสำคัญ
รัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินกำลังติดตามตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจมหภาคอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการเริ่มต้นของภาวะเศรษฐกิจถดถอย นักวิเคราะห์ให้ความสำคัญกับสถิติสำคัญ เช่น อัตราการเติบโตของ GDP ตัวเลขการว่างงาน และความเชื่อมั่นของผู้บริโภค โดยมีเป้าหมายเพื่อคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงที่อาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมของสถานการณ์ทางการเงิน
สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งมีลักษณะนโยบายการเงินที่เข้มงวดและอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ได้กระตุ้นให้ธนาคารกลางต่าง ๆ พิจารณามุมมองที่สมดุลในการรักษาความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ในขณะเดียวกันก็จัดการกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ในสหรัฐอเมริกา การปรับอัตราดอกเบี้ยล่าสุดของเฟดแสดงถึงความพยายามในการเดินทางบนเส้นทางที่เปราะบางระหว่างการเติบโตและการควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น
ตลาดเกิดใหม่อาจรู้สึกถึงความกดดันเป็นพิเศษ เนื่องจากต้องเผชิญกับการลดลงของเงินทุนจากต่างประเทศและเงื่อนไขทางการค้าที่เข้มงวดขึ้น ผู้กำหนดนโยบายในภูมิภาคเหล่านี้ยังคงตื่นตัว ตระหนักถึงความจำเป็นในการดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อ