สรุปข่าว:ยูโรพุ่งแตะระดับสูงสุดใหม่ที่ 1.1100 เทียบกับดอลลาร์สหรัฐในวันพุธ เนื่องจากแนวโน้มเงินเฟ้อลดลงในสเปนและสหรัฐอเมริกา ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปมีแนวโน้มปิดตลาดในแดนบวก
นำในวันพุธที่ 12 กรกฎาคม 2566 ยูโร (EUR) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดใหม่ของปีที่ประมาณ 1.1100 เทียบกับดอลลาร์สหรัฐ (USD) โดยได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเงินเฟ้อของสเปนและสหรัฐฯ ที่ต่ำกว่าคาด ทำให้นักลงทุนคาดการณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของยุโรปที่อาจเกิดขึ้น
เนื้อหาหลัก:
ยูโรมีกำไรอย่างมีนัยสำคัญ โดยเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1.1100 เทียบกับดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในความรู้สึกของนักลงทุนหลังจากข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดที่เผยแพร่ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐรายงานการเพิ่มขึ้น 3.0% เมื่อเทียบปีต่อปีสำหรับเดือนมิถุนายน และ CPI หลักเพิ่มขึ้น 4.8% ซึ่งทั้งสองตัวเลขต่ำกว่าการประมาณการเบื้องต้น บ่งชี้ถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ลดลง ข้อมูลนี้ทำให้เกิดการคาดการณ์ว่ากลุ่มธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) อาจยุติการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในไม่ช้า
ในเขตยูโรโซน ตัวเลขเงินเฟ้อขั้นสุดท้ายจากสเปนเปิดเผยว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เพิ่มขึ้นเพียง 1.9% เมื่อเทียบปีต่อปีสำหรับเดือนมิถุนายน ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับยูโรเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ นักวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่าการพัฒนาการเหล่านี้อาจกระตุ้นให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพิ่มอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีก 0.25% ในอนาคตอันใกล้นี้ เพื่อยืนยันท่าทีที่แข็งกร้าวท่ามกลางความท้าทายด้านเงินเฟ้อที่ยังคงมีอยู่ทั่วทั้งเขตยูโร
นอกจากนี้ การถดถอยของดัชนีดอลลาร์สหรัฐลงมาอยู่ที่ประมาณ 100.80 สะท้อนให้เห็นถึงการขายทิ้งที่รุนแรงขึ้นภายในสกุลเงินสหรัฐฯ ซึ่งสร้างแรงผลักดันเพิ่มเติมให้กับยูโรที่กำลังแข็งค่าขึ้น นักวิเคราะห์ทางเทคนิคระบุว่าหากคู่เงิน EUR/USD สามารถทะลุระดับสูงสุดที่สำคัญในปี 2023 ที่ 1.1100 ได้อย่างชัดเจน ก็อาจเปิดทางให้เคลื่อนไหวไปสู่จุดสูงสุดรายสัปดาห์ที่ 1.1184 ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2022
การเคลื่อนไหวนี้มีความโดดเด่นเป็นพิเศษเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจโลกส่งผลกระทบต่อตลาดระดับภูมิภาค “การขึ้นค่าของยูโรส่วนใหญ่เกิดจากการผสมผสานระหว่างตัวชี้วัดเงินเฟ้อที่ลดลงในสหรัฐอเมริกาและสเปน” นักวิเคราะห์ตลาดจาก FXStreet กล่าว “ความคาดหวังว่าสหรัฐจะหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยกำลังเพิ่มความต้องการในยูโร”
นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของค่าเงินยูโรยังได้รับแรงหนุนจากคำพูดของฟิลิป โลว์ จากธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) ที่กล่าวถึงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต รวมถึงคำแถลงของแอนดรูว์ เบลีย์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ที่ระบุว่าตลาดแรงงานในสหราชอาณาจักรเริ่มเย็นตัวลง ทั้งสองคำกล่าวนี้ชี้ให้เห็นถึงสภาพเศรษฐกิจที่กำลังตึงตัวขึ้น ซึ่งสนับสนุนแนวโน้มทั่วโลกที่มุ่งไปสู่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
ในสหรัฐอเมริกา นักลงทุนยังคงรอตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมในสัปดาห์นี้ เช่น ข้อมูลการขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและรายงาน Beige Book ของ Federal Reserve ซึ่งสรุปสภาพเศรษฐกิจทั่วประเทศ "การสื่อสารที่กำลังจะมาถึงของ Fed จะมีความสำคัญในการนำทางความคาดหวังของตลาดและอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อมูลค่าของสกุลเงิน" นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันการเงินชั้นนำกล่าว
ตลาดหุ้นยุโรปสะท้อนโมเมนตัมเชิงบวกของยูโร ซึ่งพร้อมจะปิดการซื้อขายในวันพุธอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนพุ่งสูงขึ้น การเพิ่มขึ้นของสกุลเงินร่วมนี้ยังกระตุ้นการพูดคุยเกี่ยวกับการนำธนบัตรยูโรแบบใหม่มาใช้ ซึ่งเป็นโครงการที่กำลังดำเนินการอยู่และเป็นที่คาดหวังในหมู่นักลงทุนฟอเร็กซ์ ขณะที่ภูมิทัศน์ทางการเงินกำลังเปลี่ยนแปลง
แม้ยูโรจะแข็งค่าขึ้น การเปิดเผยข้อมูลทางเศรษฐกิจยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทั้งเขตยูโรและสหรัฐอเมริกา ผู้เข้าร่วมตลาดกำลังติดตามความก้าวหน้าเหล่านี้อย่างใกล้ชิด ซึ่งแสดงถึงความพร้อมในการปรับกลยุทธ์ตามสภาพการเงินที่เปลี่ยนแปลงไป
สรุป:
การที่ค่าเงินยูโรปรับตัวขึ้นไปแตะที่ 1.1100 เทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นช่วงเวลาสำหรับนักเทรดและนักลงทุนในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เนื่องจากแนวโน้มทางเศรษฐกิจล่าสุดชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนแปลงทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นต่อไป ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เตรียมขึ้นอัตราดอกเบี้ยท่ามกลางแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น นักลงทุนควรจับตาข้อมูลทางเศรษฐกิจที่จะออกมาในอนาคตอย่างใกล้ชิด เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้ดียิ่งขึ้น การเคลื่อนไหวสู่ธนบัตรยูโรแบบใหม่ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในวงกว้างภายในเขตยูโรโซน ขณะที่ตลาดการเงินปรับตัวให้เข้ากับความเป็นจริงทางเศรษฐกิจใหม่ที่ขับเคลื่อนโดยแนวโน้มเงินเฟ้อและนโยบายการเงินระดับภูมิภาค
แหล่งที่มา: