สรุป:ตลาดหุ้นอินเดีย รวมถึง Sensex และ Nifty คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นหลังจากข้อมูลเงินเฟ้อล่าสุดของสหรัฐฯ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่ Federal Reserve อาจหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นำตลาดหุ้นอินเดียคาดว่าจะเปิดสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในวันพุธที่ 1 พฤศจิกายน 2566 เนื่องมาจากข้อมูลใหม่ที่บ่งชี้ถึงแนวโน้มลดลงของอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ซึ่งเสริมความมั่นใจในการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม และอาจเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยภายในเดือนพฤษภาคม 2567
เนื้อหาหลัก:
ข้อมูลเงินเฟ้อล่าสุดจากสหรัฐอเมริกาได้สร้างความหวังให้กับตลาดทั่วโลก โดยเฉพาะในอินเดีย รายงานระบุว่าตลาดหุ้นอินเดียซึ่งปิดทำการในวันดิวาลีเมื่อวันอังคาร คาดว่าจะตอบสนองในเชิงบวกต่อแนวโน้มเงินเฟ้อที่ผ่อนคลายข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ดัชนีสำคัญอย่าง Sensex และ Nifty คาดว่าจะมีกำไรอย่างมาก เนื่องจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้รับการสนับสนุนจากแนวโน้มนโยบายการเงินที่มั่นคงจากเฟด
ในวันซื้อขายก่อนหน้านี้ ทั้ง Sensex และ Nifty บันทึกการลดลงเล็กน้อยประมาณ 0.5% ซึ่งได้รับอิทธิพลจากสัญญาณผสมจากตลาดโลกและการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ นอกจากนี้ รูปีอินเดียปิดที่ 83.32 ต่อดอลลาร์ สะท้อนการลดลงเล็กน้อยสี่เปเซ อย่างไรก็ตาม ตัวชี้วัดเศรษฐกิจมหภาคโลกที่ดีอาจพลิกแนวโน้มนี้ได้
สถิติเงินเฟ้อของอินเดียเองก็สะท้อนแนวโน้มที่คล้ายคลึงกัน โดยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) มีการเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบปีต่อปีที่ 4.87% ในเดือนตุลาคม ซึ่งต่ำกว่าเดือนก่อนหน้าที่ 5.02% และต่ำกว่าการคาดการณ์ที่ประมาณไว้ที่ 4.80% การลดลงนี้ถือเป็นระดับเงินเฟ้อที่ต่ำที่สุดในสี่เดือน และยังคงอยู่ในช่วงความอดทนของธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ที่ 2-6% เป็นเดือนที่สองติดต่อกัน ตามรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ
นอกจากข้อมูลผู้บริโภคแล้ว ดัชนีราคาขายส่ง (WPI) ในอินเดียลดลง 0.52% เมื่อเทียบปีต่อปีในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 และเกินความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์ที่คาดว่าจะลดลง 0.20% แนวโน้มดังกล่าวบ่งชี้ถึงแรงกดดันพื้นฐานที่อาจทำให้หน่วยงานทางการเงินยังคงมีแนวโน้มที่จะใช้นโยบายผ่อนคลาย
บริษัทการลง Goldman Sachs ได้ปรับระดับแนวโน้มตลาดหุ้นอินเดียเป็น "น้ำหนักเกิน" เมื่อเร็วๆ นี้ การปรับระดับนี้เกิดขึ้นเนื่องจากแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของประเทศ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากการเร่งตัวของกิจกรรมการผลิตตลอดปีการเงินปัจจุบัน ตามการสำรวจของสหพันธ์หอการค้าและอุตสาหกรรมอินเดีย (FICCI)
หุ้นในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกเคลื่อนไหวตามตลาดสหรัฐที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยมีกำไรอย่างมีนัยสำคัญหลังจากการฟื้นตัวของวอลล์สตรีทซึ่งเป็นผลจากตัวเลขเงินเฟ้อที่อ่อนตัว ซึ่งบ่งชี้ว่ากลไกการตัดสินใจอัตราดอกเบี้ยของเฟดอาจถึงจุดสูงสุดแล้ว ดัชนีแนสแด็กคอมโพสิตซึ่งเน้นหุ้นเทคโนโลยีพุ่งขึ้น 2.4% สู่ระดับสูงสุดในรอบสามเดือน ขณะที่ทั้งดัชนีดาวโจนส์และเอสแอนด์พี 500 ก็ปิดสูงขึ้นเช่นกัน โดยมีกำไร 1.4% และ 1.9% ตามลำดับ
ในยุโรป หุ้นก็สะท้อนความรู้สึกเชิงบวกในทำนองเดียวกัน โดยดัชนี Stoxx 600 ทั่วทั้งยุโรปปรับตัวขึ้น 1.3% เนื่องจากตลาดตอบสนองเชิงบวกต่อสัญญาณของการลดลงของอัตราเงินเฟ้อในเศรษฐกิจสหรัฐฯ
รายงานภาวะเงินเฟ้อล่าสุดเปิดเผยว่าอัตราการเติบโตของราคาผู้บริโภคประจำปีลดลงเหลือ 3.2% ในเดือนตุลาคม เทียบกับ 3.7% ในเดือนกันยายน ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ 3.3% ราคาผู้บริโภคพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงานที่มีความผันผวน เพิ่มขึ้น 4.0% เมื่อเทียบปีต่อปี ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2021 สภาวะเงินเฟ้อที่มั่นคงนี้เปิดทางให้ธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) อาจผ่อนคลายนโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ดำเนินการอย่างเข้มงวดตลอดปี 2022 และ 2023
ในบริบทของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ แนวโน้มเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่มีเสถียรภาพสามารถนำไปสู่ประสิทธิภาพที่แข็งแกร่งขึ้นของรูปีและสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนจากต่างประเทศในตลาดอินเดีย ในขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาดัชนีทางเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ความคาดหวังเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดภายในกลางปี 2024 ยังกระตุ้นความสนใจในหุ้นเพิ่มขึ้นอีกด้วย
สรุป:
การบรรจบกันของข้อมูลเงินเฟ้อที่ดีจากสหรัฐอเมริกาและตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจภายในประเทศที่มองในแง่ดี ได้กำหนดแนวโน้มเชิงบวกให้กับตลาดอินเดีย นักลงทุนกำลังจับตาดูการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด และเมื่อตลาดเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดทำการ ความเชื่อมั่นที่ล้อมรอบ Sensex และ Nifty อาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในความรู้สึกของนักลงทุน ความยืดหยุ่นอย่างต่อเนื่องในสถิติเงินเฟ้อชี้ให้เห็นถึงรากฐานที่มั่นคงสำหรับการผ่อนคลายนโยบายการเงินที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มแรงผลักดันให้กับการเติบโตของหุ้นอินเดีย
แหล่งที่มา: