สรุปข่าว:ตลาดหุ้นยุโรปคาดว่าจะขยายการขาดทุนเนื่องจากความกลัวอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดจากสงครามที่กำลังดำเนินอยู่ในยูเครน
นำข่าว:หุ้นยุโรปคาดว่าจะยังคงมีแนวโน้มลดลงในวันอังคารที่ 10 ตุลาคม 2566 เนื่องจากความกังวลของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยและการปะทุของความขัดแย้งในยูเครนล่าสุด ทำให้ความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงลดลง
เนื้อหาข่าว:
หุ้นยุโรปล่าสุดเผชิญกับการลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยดัชนี Stoxx 600 ทั่วทั้งยุโรปสูญเสียแรงหนุนเนื่องจากอารมณ์ตลาดที่แย่ลงจากความขัดแย้งทางทหารที่รุนแรงขึ้นในยูเครนและการเก็งกำไรที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น เหตุผลเบื้องหลังการตกต่ำนี้เกิดจากสถานการณ์ที่มาจากกิจกรรมทางทหารที่เพิ่มขึ้นของรัสเซียและการให้คำมั่นของสหรัฐฯ ที่จะเพิ่มการสนับสนุนทางทหารให้แก่ยูเครน
นักลงทุนได้ตอบสนองต่อสัญญาณนโยบายการเงินที่เข้มงวดจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อบ่งชี้จากประธานธนาคารกลางชิคาโก ชาร์ลส์ อีแวนส์ ที่ระบุว่ามีฉันทามติเพิ่มขึ้นภายในเฟดที่จะเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป้าหมายเป็นประมาณ 4.5% ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 และรักษาอัตรานี้ไว้ตลอดช่วงเวลาส่วนใหญ่ของปี 2023 คำแถลงดังกล่าวได้เพิ่มความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งในตอนแรกได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นแล้ว
ข้อมูลระบุว่า ดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบหลายปี พร้อมกับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ราคาทองคำลดลงเป็นวันที่ห้าติดต่อกันท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางการเงินที่เข้มงวดขึ้น "มีความกังวลอย่างมากว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่รุนแรงก่อนหน้านี้กำลังเริ่มชะลอเศรษฐกิจ และเราอาจไม่เห็นผลกระทบเต็มที่จนกว่าจะผ่านไปอีกหลายเดือน" ลาเอล เบรนนาร์ด รองประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าว
ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ส่วนใหญ่เกิดจากการตอบสนองที่ประสานกันทั่วโลกต่อการรุกรานของรัสเซีย การโจมตีเมืองต่างๆ ของยูเครนใหม่และความเสี่ยงที่การเผชิญหน้าทางทหารอาจทวีความรุนแรงขึ้น ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อความรู้สึกของนักลงทุน ความไม่แน่นอนที่ล้อมรอบเหตุการณ์เหล่านี้ได้นำไปสู่การหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่แพร่หลายในตลาดทั่วโลก ที่สังเกตได้ชัดคือ พลวัตของกระแสเงินทุนกำลังถูกเปลี่ยนแปลงเมื่อนักลงทุนหันเหออกจากหุ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคที่เปราะบางต่อความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์เหล่านี้
ปัจจัยที่ทำให้หุ้นยุโรปอ่อนแอลงยิ่งขึ้นคือความวุ่นวายในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับชิปในเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน จีน และฮ่องกง หลังจากที่สหรัฐฯ ออกมาตรการจำกัดการส่งออกที่รุนแรงเพื่อจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ของจีน นักวิเคราะห์เตือนว่าผลกระทบจากมาตรการจำกัดการส่งออกเหล่านี้อาจขยายไปสู่ตลาดยุโรป เนื่องจากห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกมีความเชื่อมโยงกัน
สถิติตลาดล่าสุดสะท้อนให้เห็นถึงความกระตือรือร้นที่ลดลงในตลาดหุ้น โดยดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลดลง 0.3% ดัชนี S&P 500 ลดลง 0.8% และดัชนีคอมโพสิต NASDAQ ลดลง 1% ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงแรงกดดันด้านขาลงที่ต่อเนื่อง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับแผนการ收紧นโยบายการเงินของเฟดและความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น
เมื่อตลาดตอบสนองต่อมาตรการล็อกดาวน์ใหม่ในบางส่วนของจีน ตลาดหุ้นยุโรปได้เผชิญกับภาวะตกต่ำเป็นวันที่สี่ติดต่อกันในวันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม 2566 ดัชนี DAX ของเยอรมนีปิดตัวลงเล็กน้อย ขณะที่ดัชนี CAC 40 ของฝรั่งเศสและ FTSE 100 ของสหราชอาณาจักรต่างก็ประสบกับการสูญเสียที่แข็งแกร่งประมาณ 0.5 เปอร์เซ็นต์
สถิติตลาดแรงงานจากสหราชอาณาจักร ซึ่งมีกำหนดเผยแพร่ในวันนี้ คาดว่าจะเพิ่มความซับซ้อนอีกชั้นให้กับภาพเศรษฐกิจที่เปราะบางอยู่แล้ว ขณะที่สถานการณ์ยังคงพัฒนาต่อไป ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้นักลงทุนยังคงตื่นตัว ปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับความผันผวนที่เพิ่มสูงขึ้น และพิจารณาผลกระทบระยะยาวของกระแสทางสังคมและเศรษฐกิจเหล่านี้
สรุป:
แนวโน้มปัจจุบันของตลาดยุโรปบ่งชี้ถึงช่วงเวลาที่มีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้รับอิทธิพลอย่างมากจากทั้งการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เมื่อตลาดตอบสนองต่อความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากความขัดแย้งในยูเครนและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ในภาวะตึงเครียด การปฏิสัมพันธ์ระหว่างแรงกดดันทางเศรษฐกิจและพลวัตโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการเดินหน้าอย่างระมัดระวังและเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่อาจเกิดขึ้นเมื่อสถานการณ์พัฒนาต่อไป ในท่ามกลางความไม่แน่นอน ทิศทางของหุ้นยุโรปในวันข้างหน้าจะยังคงเป็นจุดสนใจหลักสำหรับทั้งผู้สังเกตการณ์ทางการเงินและนักลงทุน
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม แหล่งข้อมูลต่อไปนี้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลกระทบของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และสัญญาณทางเศรษฐกิจต่อตลาดโลก: