นำดอลลาร์สหรัฐฯ ประสบกับภาวะตกต่ำในช่วงต้นของการซื้อขายในยุโรปเมื่อวันศุกร์ โดยลดลง 0.3% เป็น 111.903 บนดัชนีดอลลาร์ เนื่องจากปอนด์อังกฤษฟื้นตัวอย่างไม่คาดคิดหลังการประกาศการเติบโตของ GDP ของสหราชอาณาจักร ซึ่งช่วยให้ตลาดมีเสถียรภาพท่ามกลางการคาดการณ์การดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และการสนับสนุนจากธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ
ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลดลงเล็กน้อยในช่วงต้นการซื้อขายในยุโรปเมื่อวันศุกร์ เนื่องจากผู้ค้าตอบสนองต่อการอัปเดตทางเศรษฐกิจหลายรายการ โดยเฉพาะจากสหราชอาณาจักร เวลา 03:05 น. (07:05 GMT) ดัชนีดอลลาร์ซึ่งวัดผลการดำเนินงานของดอลลาร์เทียบกับตะกร้าเงินสกุลอื่นอีก 6 สกุล ลดลง 0.3% มาอยู่ที่ 111.903 การลดลงนี้ใกล้เคียงกับระดับต่ำสุดในหนึ่งสัปดาห์ที่ 111.64 ซึ่งทำได้ในเซสชั่นก่อนหน้า
ในขณะเดียวกัน GBP/USD ซื้อขายสูงขึ้น 0.3% ที่ 1.1157 ปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษก่อนหน้านี้พุ่งสูงเกิน 1.12 ในช่วงเซสชั่นเอเชีย ใกล้จะฟื้นตัวเต็มที่จากความสูญเสียอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลใหม่ประกาศแผนงบประมาณย่อยลดภาษีที่ไม่มีเงินทุนสนับสนุนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
การฟื้นตัวของเงินปอนด์อังกฤษได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากมาตรการซื้อพันธบัตรฉุกเฉินของธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ ซึ่งช่วยให้ตลาดพันธบัตรมีเสถียรภาพและส่งผลให้มูลค่าของเงินปอนด์แข็งค่าขึ้น
ข่าวดีที่คาดไม่ถึงมาพร้อมกับรายงานว่าเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรขยายตัว 0.2% ในไตรมาสที่สอง ซึ่งเป็นการปรับตัวที่ดีขึ้นอย่างน่าประหลาดใจเมื่อเทียบกับที่คาดว่าจะหดตัว 0.1% และช่วยหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงฤดูร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักวิเคราะห์จาก ING ระบุว่าสถานการณ์ในสหราชอาณาจักร "เป็นครั้งแรกที่ความเสี่ยงของสภาพเศรษฐกิจมหภาคที่停滞flationary นี้มีโอกาสพัฒนาไปสู่วิกฤตการเงิน" การแทรกแซงอย่างแข็งขันของธนาคารกลางอังกฤษช่วยให้สถานการณ์มีความมั่นคงชั่วคราว แม้ว่าพวกเขาจะเตือนไม่ให้ประมาทเพราะความผันผวนคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ข้อมูลทางเศรษฐกิจยังระบุด้วยว่าภาคบริการของสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ที่สุดของเศรษฐกิจ มีการเติบโตขึ้น 0.1% การเติบโตที่แข็งแกร่งที่สุดมาจากกิจกรรมด้านวิชาชีพ วิทยาศาสตร์ และเทคนิค รวมถึงการค้าปลีก ซึ่งส่งสัญญาณถึงมุมมองที่หลากหลายแต่ก็ยังคงมองโลกในแง่ดีอย่างระมัดระวังสำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ยูโรยังแสดงความแข็งแกร่ง โดยขึ้นไปซื้อขายที่ระดับ EUR/USD 0.9817 เนื่องจากการปรับตัวลดลงของอัตราเงินเฟ้อในฝรั่งเศส ซึ่งลดลง 0.5% ในเดือนกันยายน ก่อนหน้านี้ข้อมูลจากเยอรมนีแสดงตัวเลขเงินเฟ้อของผู้บริโภคที่แข็งแกร่ง ทำให้เกิดความคาดหวังว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรง ยูโรขึ้นไปถึงจุดสูงสุดที่ 0.9844 ในช่วงการซื้อขาย แม้ว่าจะยังอยู่ภายใต้แรงกดดันจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังดำเนินอยู่จากสงครามของรัสเซียในยูเครน
ขณะที่รัฐมนตรีพลังงานของสหภาพยุโรปเตรียมประชุมในวันศุกร์นั้นเพื่อหารือเกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย หลังจากที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินตั้งใจจะประกาศผนวกดินแดนเพิ่มเติมในยูเครน วิกฤตพลังงานในยุโรปก็ส่งผลกระทบอย่างมากต่อประสิทธิภาพของสกุลเงินยูโร
ความต้องการดอลลาร์สหรัฐที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องก็อยู่ภายใต้การตรวจสอบเช่นกัน เนื่องจากเมื่อเร็ว ๆ นี้มันได้พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบสองทศวรรษ ผู้กำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ระบุแผนการที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งยังคงอยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณของความระมัดระวังเกิดขึ้นเมื่อประธานธนาคารกลางสหรัฐสาขาซานฟรานซิสโก แมรี เดลี แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของนโยบายการ收紧ที่รุนแรงต่อเศรษฐกิจสหรัฐ
คู่เงิน USD/JPY ลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 144.32 ยังคงทรงตัวต่ำกว่าระดับสำคัญที่ 145 หลังจากการแทรกแซงตลาดสกุลเงินของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1998 เพื่อรักษาเสถียรภาพของเยน สินทรัพย์ที่ไวต่อความเสี่ยง เช่น AUD/USD มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.1% มาอยู่ที่ 0.6503 ในขณะที่ USD/CNY ลดลง 0.5% มาอยู่ที่ 7.0900 เนื่องจากข้อมูลการผลิตเดือนกันยายนของจีนที่แข็งแกร่ง
ในขณะที่เทรดเดอร์ฟอเร็กซ์วิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดและนโยบายการเงิน ผลกระทบจากการเติบโตของ GDP ของสหราชอาณาจักรและความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มที่จะทำให้กิจกรรมในตลาดยังคงเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ด้วยการแทรกแซงการซื้อพันธบัตรอย่างแข็งขันของธนาคารแห่งประเทศอังกฤษและแนวโน้มการเปลี่ยนยุทธศาสตร์ของธนาคารกลางยุโรป นักลงทุนจะต้องเผชิญกับความผันผวนที่สูงขึ้นในขณะที่ธนาคารกลางต่างๆ กำลังทบทวนนโยบายการเงินของพวกเขา
นอกจากนี้ แนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในสหรัฐอเมริกาและวิถีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นในสหราชอาณาจักรและยูโรโซนจะยังคงกำหนดกลยุทธ์การซื้อขายต่อไป ในขณะที่ภูมิทัศน์ทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงปั่นป่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องอุปทานและราคาพลังงาน ปัจจัยเหล่านี้จะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดมูลค่าสกุลเงินในอนาคต
สรุปแล้ว ข้อมูลทางเศรษฐกิจล่าสุดจากสหราชอาณาจักรได้สร้างความไม่แน่นอนใหม่ให้กับตลาดสกุลเงิน นำมาซึ่งทั้งโอกาสและความเสี่ยง ในขณะที่นักลงทุนปรับกลยุทธ์เพื่อตอบสนองต่อสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป