สรุปข่าว:ราคาผู้บริโภคของนิวซีแลนด์เพิ่มขึ้น 1.2% ในไตรมาสแรกของปี 2023 ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อรายปีเพิ่มขึ้นเป็น 6.7% ส่งผลให้เกิดการถกเถียงเกี่ยวกับทิศทางของอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
นำเมื่อวันพฤหัสบดี สถิตินิวซีแลนด์รายงานว่าดัชนีราคาผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.2% ในไตรมาสแรกของปี 2023 ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.7% และลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้น 1.4% สิ่งนี้อาจบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มเงินเฟ้อในประเทศซึ่งส่งผลต่อนโยบายการเงิน
การเพิ่มขึ้นของราคาผู้บริโภคได้กลายเป็นจุดสนใจสำหรับนักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์ตลาด แม้ว่าจะมีการเพิ่มขึ้นในแต่ละไตรมาส แต่ตัวเลขเงินเฟ้อแสดงให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อต่อปีเพิ่มขึ้นเป็น 6.7% ลดลงจาก 7.2% ในไตรมาสก่อนหน้าและต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 7.1% ผลลัพธ์ที่หลากหลายนี้เน้นย้ำถึงพลวัตที่ซับซ้อนของการฟื้นตัวของนิวซีแลนด์หลังการแพร่ระบาด
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ราคาเพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ ได้แก่ การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของต้นทุนอาหารและที่อยู่อาศัย ราคาอาหารพุ่งสูงขึ้น 3.7% โดยเพิ่มขึ้นถึง 11.3% ในรอบปี ในขณะที่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบเพิ่มขึ้น 4.1% ในไตรมาส ส่วนค่าที่อยู่อาศัยและสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 1.0% แนวโน้มเหล่านี้สะท้อนถึงความท้าทายที่ผู้บริโภคต้องเผชิญท่ามกลางภาวะตลาดโลกที่ผันผวนและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจภายในประเทศ
ขณะที่ตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ยังคงมีอยู่ แต่ก็ยังชี้ให้เห็นว่าจุดที่เลวร้ายที่สุดอาจอยู่ข้างหลังเราแล้ว" นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันการเงินชั้นนำกล่าว "ผลกระทบต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะในเรื่องค่าที่อยู่อาศัยและค่าอาหาร ไม่สามารถมองข้ามได้
ภูมิทัศน์ด้านเงินเฟ้อของนิวซีแลนด์มีความผันผวนอย่างมากในอดีต แนวโน้มหลังการระบาดใหญ่ได้นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วโดยธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันจำเป็นต้องมีความสมดุลที่ละเอียดอ่อน เนื่องจาก RBNZ ต้องจัดการกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อท่ามกลางการปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นิโคลา วิลลิส กล่าวถึงข้อมูลล่าสุดว่า "ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นแนวโน้มที่มั่นคงของอัตราเงินเฟ้อ และเราเชื่อว่ายุคของเงินเฟ้อสูงกำลังจะสิ้นสุดลง" ตามที่วิลลิสกล่าว รัฐบาลคาดว่าจะเห็นเงื่อนไขที่ดีขึ้นสำหรับการผ่อนคลายทางการเงินเมื่อความเชื่อมั่นในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
แบบจำลองทำนายบ่งชี้ว่าธนาคารต่างๆ คาดการณ์ว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในอนาคต อัตราดอกเบี้ยทางการแตะจุดสูงสุดที่ 5.5% และได้ลดลงเหลือ 3.5% แล้ว ธนาคารอย่าง ANZ และ Kiwibank คาดการณ์ว่าจะมีการลดลงอีก โดยประมาณการว่าจะลดเหลือ 2.5% ภายในเดือนตุลาคมปีนี้
เนื่องจากข้อมูลเงินเฟ้อแสดงภาพที่หลากหลาย ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) จึงต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่สำคัญเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงิน ตามที่นักวิเคราะห์การเงินระบุ สถิติเงินเฟ้อนี้นับเป็นหน้าต่างที่ช่วยให้มองเห็นภาพเศรษฐกิจของนิวซีแลนด์ที่กำลังเปลี่ยนแปลง
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เพิ่มขึ้นเพียง 0.9% ในไตรมาส ซึ่งขับเคลื่อนโดยการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัย อัตราค่าสภาเพิ่มขึ้น 12.2% และค่าเช่าเพิ่มขึ้น 3.7% ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่สะท้อนผลกระทบของตลาดที่อยู่อาศัยต่ออัตราเงินเฟ้อ นอกจากนี้ ต้นทุนการก่อสร้างยังได้รับความสนใจ ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายที่ยังคงมีอยู่ในห่วงโซ่อุปทานและการขาดแคลนแรงงานนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาด
แม้จะมีความกดดันด้านที่อยู่อาศัยและราคาสินค้าจำเป็น แต่พื้นที่อื่น ๆ กลับแสดงสัญญาณของความมั่นคง ตัวอย่างเช่น ในขณะที่บุหรี่มีราคาเพิ่มขึ้น 3.9% แต่ก็ยังต่ำกว่าการเติบโตตามปกติ นักวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่าหลักฐานของการเติบโตที่ชะลอตัวในบางภาคส่วนอาจเป็นสัญญาณของการกลับสู่สภาวะปกติในวงกว้าง
เมื่อมองไปข้างหน้า นักเศรษฐศาสตร์หลายคนยังคงระมัดระวังในการคาดการณ์ของพวกเขา แม้อัตราเงินเฟ้อจะมีแนวโน้มลดลงต่ำกว่าช่วงสูงสุด แต่ความเป็นไปได้ของแรงกระแทกจากภายนอกที่คาดไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการค้าโลกหรือความผิดปกติของห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ ยังคงเป็นปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อแนวทางการฟื้นตัว
ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อในนิวซีแลนด์แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างการขึ้นราคา การฟื้นตัวจากโรคระบาด และการเคลื่อนไหวของนโยบายการเงิน เมื่ออัตราเงินเฟ้อเริ่มมีเสถียรภาพ ทั้งรัฐบาลและธนาคารกลางนิวซีแลนด์จะต้องประเมินกลยุทธ์ของพวกเขาอย่างรอบคอบเพื่อส่งเสริมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ในขณะที่จัดการกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ เส้นทางข้างหน้าอาจมีโอกาสสำหรับการลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม แต่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต้องตื่นตัวต่อสัญญาณทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่จะกำหนดทิศทางในเดือนข้างหน้า
แหล่งที่มา: